ไส้กรอง Sediment Inline

หน้าที่และหลักการทำงาน
ไส้กรอง Sediment ทำหน้าที่เป็นด่านแรกในการกรองน้ำ โดยจะกำจัดสิ่งปนเปื้อนที่มีอนุภาคขนาดใหญ่
ที่แขวนลอยมากับน้ำประปาหรือน้ำดิบ หลักการทำงานคือการกรองเชิงกายภาพ (Physical Filtration)
โดยให้น้ำไหลผ่านเส้นใยสังเคราะห์ที่พันกันอย่างหนาแน่น ซึ่งจะดักจับสิ่งสกปรกต่างๆ ไว้

สิ่งที่ไส้กรอง Sediment สามารถกรองได้:
            ตะกอน: ดิน, โคลน, ทราย
          สารแขวนลอย: อนุภาคฝุ่นผงต่างๆ ที่ทำให้น้ำขุ่น
          สนิม: เศษสนิมเหล็กที่ปะปนมาจากท่อส่งน้ำ
          สิ่งสกปรกขนาดใหญ่อื่นๆ: เช่น ตะไคร่น้ำ, เส้นผม

คุณสมบัติและวัสดุ
*ไส้กรองด้านในทำจากเส้นใย โพลีโพรพีลีน (Polypropylene - PP)
ซึ่งเป็นวัสดุที่ปลอดภัยสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม (Food Grade)
ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น และไม่สร้างมลพิษให้กับน้ำ
*เป็นไส้กรองสำเร็จรูปในกระบอกพลาสติก (แคปซูล) มีท่อน้ำเข้า-ออกในตัว
ซึ่งมักจะเป็นแบบหัวเสียบ (I-Type) หรือแบบเกลียว (T-Type)
สำหรับต่อกับสายน้ำ PE ขนาด 1/4 นิ้ว (2 หุน) ได้โดยตรง
*โดยทั่วไปมีความละเอียดอยู่ที่ 1 หรือ 5 ไมครอน (Micron)
ซึ่งสามารถดักจับอนุภาคที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าได้
*มีขนาดมาตรฐานที่นิยมใช้กันคือความยาว 10, 11 หรือ 12 นิ้ว
และมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5 นิ้ว

ประโยชน์ของไส้กรอง Sediment Filter Inline
1. สามารถเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องใช้เครื่องมือที่ซับซ้อน เพียงแค่
    ถอดของเก่าออกและใส่ของใหม่เข้าไปในล็อกหรือข้อต่อได้เลย
2. ประหยัดพื้นที่: ด้วยการออกแบบที่ไม่ต้องมีกระบอกกรองภายนอก
    ทำให้เหมาะกับเครื่องกรองน้ำขนาดเล็ก, ตู้กดน้ำ หรือพื้นที่ติดตั้งที่จำกัด
3. ปกป้องไส้กรองอื่นๆ: ทำหน้าที่กรองหยาบเพื่อลดภาระและยืดอายุการใช้งานของไส้กรอง
    ในลำดับถัดไป เช่น ไส้กรองคาร์บอน  (Carbon) หรือไส้กรองเมมเบรน (Membrane)
    ไม่ให้อุดตันเร็วเกินไป
4. เพิ่มคุณภาพน้ำเบื้องต้น: ช่วยทำให้น้ำใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    จากการกำจัดความขุ่นและตะกอน

การใช้งาน
       ไส้กรอง Sediment Filter Inline มักจะถูกติดตั้งเป็น
ขั้นตอนแรกสุด ในระบบกรองน้ำต่างๆ เช่น:
*เครื่องกรองน้ำดื่มแบบ 3, 4, หรือ 5 ขั้นตอน
*ตู้กดน้ำร้อน-น้ำเย็น
*เครื่องทำน้ำแข็ง
*ระบบกรองน้ำใช้ก่อนเข้าสู่เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ

อายุการใช้งานและการดูแลรักษา
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ คุณภาพของน้ำดิบ และ ปริมาณการใช้น้ำ
- โดยเฉลี่ย: ควรเปลี่ยนทุกๆ 3 - 6 เดือน
- กรณีน้ำขุ่นมาก หรือใช้น้ำเยอะ: อาจต้องเปลี่ยนเร็วขึ้น เช่น ทุก 1-3 เดือน
- ข้อสังเกต: หากน้ำเริ่มไหลช้าลงหรือมีสีที่ขุ่นขึ้น เป็นสัญญาณว่าไส้กรอง
   อาจเริ่มอุดตันและถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแล้ว

การเปลี่ยนไส้กรองตามกำหนดเวลาเป็นสิ่งสำคัญ
เพื่อรักษาประสิทธิภาพการกรองและสุขอนามัยที่ดีของน้ำดื่ม