มากกว่า 80% ของน้ำเสีย หากไม่ผ่านการบำบัดก่อนทิ้ง จะส่งผลให้เกิดกลิ่นเหม็นเน่ารบกวน ทุกท่านลองคิดทบทวนดู หากทุกครัวเรือน ปล่อยน้ำเสียทิ้งโดยไม่ผ่านการบำบัดก่อนทิ้ง อะไรจะเกิดขึ้น
แน่นอน นอกจากส่งกลิ่นเหม็นเน่ารบกวนชุมชนแล้ว ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อทุกคนอีกด้วย
ถังบำบัด ถังแซท (SepticTank : Sats) หรือถังบำบัดน้ำเสีย คืออุปกรณ์ที่ช่วยบำบัดน้ำเสียที่ผ่านการใช้งานภายในอาคาร บ้านเรือนให้มีความสะอาดมากขึ้น พร้อมที่จะปล่อยลงแหล่งน้ำสาธารณะ โดยใช้หลักการจุลินทรีย์ย่อยจุลินทรีย์ สามารถปล่อยน้ำทิ้งได้อย่างถูกสุขลักษณะ
หลักการทำงานของถังแซท
สำหรับหลักการทำงานของถังแซทนั้น จะเป็นการใช้จุลินทรีย์เพื่อย่อยจุลินทรีย์ ซึ่งก็จะมีทั้งการใช้จุลินทรีย์ธรรมชาติที่อยู่ในถังบำบัดน้ำเสียอยู่แล้ว หรืออาจจะเติมจุลินทรีย์เข้าไปปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อช่วยให้การย่อยมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประเภทของถังแซทที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
ถังแซทที่นิยมนำมาใช้สำหรับการบำบัดน้ำเสียในปัจจุบันมีด้วยกัน 2 ประเภทดังนี้
1.ถังแซทแบบเติมอากาศ
การทำงานของถังบำบัดน้ำเสียนั้นจะใช้จุลินทรีย์ย่อยจุลินทรีย์ ซึ่งถังแซทแบบเติมออกซิเจนก็ใช้หลักการเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันตรงที่ถังแบบเติมออกซิเจนนั้น จะมีการติดตั้งปั๊มอากาศ เพื่อช่วยเติมอากาศ เพิ่มออกซิเจนให้ภายในถัง ช่วยให้เชื้อจุลินทรีย์มีการเจริญเติบโตที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้มีประสิทธิภาพในการย่อยสลายสิ่งปฏิกูล ไม่ทำให้เกิดปัญหาตะกอนตกค้างภายในถัง สำหรับการเลือกใช้ถังแบบเติมอากาศจะช่วยให้มีกลิ่นเหม็นที่น้อยลง และมีความสะอาด อีกทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า
2.ถังแซทแบบไม่เติมอากาศ
ถังแซทแบบไม่เติมอากาศนั้นเป็นถังรูปแบบปกติ ที่จะใช้จุลินทรีย์ธรรมชาติในการย่อยสลายสิ่งปฏิกูลภายในถัง ซึ่งถังแบบไม่เติมอากาศนั้นนิยมใช้มากกว่า เพราะมีราคาที่ย่อมเยา แต่ประสิทธิภาพในการย่อยสลายอาจจะช้ากว่าถังแบบเติมอากาศ นอกจากนี้ ยังมีกลิ่นเหม็นไม่พึงประสงค์อยู่บ้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของถังบำบัดน้ำเสีย
ชนิดของถังแซทนั้นหากแบ่งตามวัสดุที่ใช้ในการผลิตแล้ว จะมีด้วยกัน 2 ชนิดที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ซึ่งจะมีถังแบบพลาสติก และถังแบบไฟเบอร์กลาส ซึ่งถังทั้งสองชนิดก็จะมีข้อดี-ข้อเสีย ต่างกันดังนี้
ถังแซทพลาสติก
ถังแซทแบบพลาสติกนั้นผลิตขึ้นจากพลาสติกชนิดโพลีเอธีลีน (Polyethylene : PE) ซึ่งเป็นพลาสติกที่มีความแข็งแรง ทนทานต่อการกัดกร่อน นิยมใช้ในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากไม่ละลายง่าย ไม่เสียหายเร็ว ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ
ถังแซทไฟเบอร์กลาส
ถังแซทแบบไฟเบอร์กลาสผลิตมาจากเส้นใยแก้วที่ถูกเสริมด้วยพลาสติกเรซิ่น ทำให้ตัวถังบำบัดน้ำเสียนั้นมีความแข็งแรงมากขึ้น ไม่ทำให้เกิดรอยแตกหัก หรือรอยรั่วซึมในจุดต่างๆ ได้ง่าย ถังแบบไฟเบอร์กลาสจึงนิยมใช้งานในคอนโดมิเนียม โรงแรม หรือโรงงานที่ต้องรองรับปริมาณน้ำที่มากๆ
วิธีดูแลถังแซทให้ใช้งานได้ยาวนาน
การใช้งานตัวถังอย่างถูกวิธีก็จะช่วยให้สามารถใช้งานได้อย่างยาวนานมากขึ้น อีกทั้งยังไม่ทำให้ตัวถังเกิดความเสียหายอีกด้วย สำหรับการดูแลที่ควรระมัดระวัง และใส่ใจมีดังนี้
หลีกเลี่ยงการทิ้งวัสดุใดๆ ที่จุลินทรีย์ไม่สามารถย่อยได้อย่างผ้าอนามัย เพราะอาจทำให้เกิดการอุดตัน และทำให้ถังเต็มเร็วกว่าปกติ
ควรสูบบ่อเกรอะทุกๆ 1-2 ปี เพื่อประสิทธิภาพในการบำบัด และป้องกันการสะสมของตะกอน
หมั่นตรวจสอบระบบน้ำเสียเสมอว่าไหลปกติหรือไม่ หากเกิดการอุดตันควรรีบแก้ไข
ถังแซทต่างจากระบบบ่อเกรอะบ่อซึมอย่างไร
ถังแซทและระบบบ่อเกรอะ บ่อซึมนั้นมีหน้าที่หลักๆ เหมือนกันคือ ช่วยบำบัดน้ำเสียที่ใช้งานภายในอาคาร แต่เดิมที่ยังไม่มีถังบำบัดน้ำเสีย ตามอาคารบ้านเรือนก็จะใช้บ่อเกรอะ บ่ซึม เพื่อให้น้ำเสียไหลลงสู่บ่อเกรอะ ส่วนตะกอนที่เป็นของแข็งก็จะนอนก้น ส่วนบ่อซึมน้ำก็จะซึมไปยังบริเวณรอบๆ แต่ในกรณีที่บ่อซึมมีน้ำท่วมขังบริเวณรอบๆ ก็จะทำให้น้ำนั้นซึมไม่ได้ จนเกิดปัญหาส้วมตัน กดชักโครกไม่ได้ ซึ่งแตกต่างจากถังแซท ซึ่งเป็นถังบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูป ที่ช่วยจัดการปัญหาน้ำเสียที่ใช้แล้วภายในบ้านได้อย่างลงตัว พร้อมทั้งแยกตะกอนได้อย่างมีประสิทธิภา
วิธีคำนวณขนาดถังบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูป(ชนิดไม่เติมอากาศ)ให้เหมาะกับการใช้งาน
สูตร: จำนวนปริมาตรถังบำบัด หาร 1.5 หาร 200 (เฉลี่ย/คน/วัน)
ตัวอย่าง ปริมาตรถังบำบัด 1000 ลิตร
คำนวณ : 1000 / 1.5 / 200 = 3.33
สรุป : ถังบำบัดแบบไร้อากาศขนาด 1000 ลิตร เหมาะสำหรับจำนวนผู้พักอาศัย 3-4 คน เป็นต้น
วิธีคำนวณขนาดถังบำบัดสำเร็จรูป (แบบเติมอากาศ) ให้เหมาะกับการใช้งาน
สูตร: จำนวนปริมาตรถังบำบัด หาร 200 (เฉลี่ย/คน/วัน)
ตัวอย่าง ปริมาตรถังบำบัด 1000+ปั๊มเติมอากาศ
คำนวณ : 1000 / 200 = 5
สรุป : ถังบำบัดแบบเติมอากาศขนาด 1000 ลิตร เหมาะสำหรับจำนวนผู้พักอาศัย 5 คน เป็นต้น